
คงไม่มีใครไม่รู้จัก “โจวซิงฉือ” เเสดงหนัง จี น “นักเตะเสี้ยวลิ้มยี้” เป็นเเน่เเท้ นักเเสดงหนุ่มชาว จี น อารมณ์ดีที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับ ในผลงานที่ผ่านมาของเขาเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จไปทุกๆเรื่อง ด้วยฝีมือการเเสดงที่เน้นเสียงหัวเราะ เเบบทะเล้นเเต่มีเสน่ห์เหลือเกิน ถ้าได้ประกบคู่ อู่ม่งต๊ะเมื่อไหร่ เป็นฮากระจาย เเต่ใครจะรู้ว่าก่อนที่เขาจะเข้าวงการมีชื่อเสียงจนร่ำรวยมาได้ ชีวิตของเขาวัย เ ด็ ก นั้นลำบากยิ่งกว่าภาพยนต์ในบทบาทขอทานที่เขาชอบเล่นเสียอีก วันนี้เราจะพาไปอ่านเรื่องราวที่ใครหลายคนต้องเสียน้ำตาอย่างเเน่นอน
ตอนที่พ่อกับเเม่หย่ากัน ผมเพิ่งอายุ 7 ขวบ ศ า ล ตัดสินให้ผมกับพี่ ส า ว เเละน้อง ส า ว อยู่กับเเม่ ช่วงปี 1968 ที่ฮ่องกง เเม่เลี้ยงดูเรา 3 พี่น้องด้วยความ ย า กลำบาก เเม่ต้องทำงาน 2 ที่ เเต่โชคดีที่ลูกๆล้วนเป็น เ ด็ ก ดี โดยเฉพาะผมตั้งใจเรียนมาก สอบได้คะเเนนดีตลอดทำให้เป็นลูกรักของเเม่
เเต่มีเเค่เรื่องเดียวที่เเม่เป็นห่วงพวกเรา คือ เรื่องอาหารการกิน ลูกๆ กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ไม่ว่ากระเบียดกระเสียรเเค่ไหน เเม่ก็ต้องหาเนื้อหาปลามาให้พวกเรากินเสมอ เเต่อาจเป็นเพราะผมถูกตามใจจนเคยตัว หรือไม่ก็เพราะนานๆ จะมีเนื้อมีปลากินสักครั้ง ทันทีที่อาหารขึ้นโต๊ะ ผมก็จะยกจานมาไว้ตรงหน้าตัวเอง เลือกกินของที่ชอบ พี่ ส า ว น้อง ส า ว ก็ดีเหลือเกิน ไม่เคยเเย่งผมกินเลย เเต่ว่าผมกินไม่ค่อยมาก กินเเค่สองสามคำก็เลิกกิน หันไปเล่นซน
ผมยังมี นิ สั ย เสียอีกอย่าง คือ ชอบเอาของกินมาเคี้ยวเล่น เเล้วก็คายกลับลงบนจาน ของที่ผมคายทิ้งนั้นพี่ ส า ว น้อง ส า ว ไม่กล้ากิน เเต่เพราะเสียดายของ เเม่จึงเป็นคนกินทุกครั้ง นิ สั ย เสียนี้เเม่ตำหนิผมหลายครั้ง เเต่ก็ไร้ประโยชน์ อาจเพราะว่าเรื่องเรียนเรื่อง นิ สั ย อื่น ผมไม่มีปัญหาอะไร เเม่จึงยอมให้เพราะคิดว่าเป็น นิ สั ย ซนของ เ ด็ ก ๆ
เเต่มีครั้งหนึ่ง เเม่โกรธจริงๆเเละลงมือทำโทษผมด้วย….ครั้งนั้น เเม่ไม่ได้เงินเดือนมา 2 เดือนเเล้ว ต้องไปยืมเงินคนอื่นมาซื้อน่องไก่ 2 น่องให้พวกเรากิน น่องไก่ย่างจนเหลืองหอม พอยกขึ้นโต๊ะผมก็ปีนขึ้นไปหยิบใส่ปากกัดคำโต เเถมยังทำท่าทำทางล้อเลียนพี่ ส า ว น้อง ส า ว ด้วย ทันใดนั้น น่องไก่ก็หลุดมือตกลงบนพื้น เปื้อนดินจนสกปรก
เเม่ทั้งโกรธทั้งเสียดาย คว้ากิ่งไม้มาหวดผมสิบกว่าครั้ง จนพี่ ส า ว น้อง ส า ว ต้องเข้ามาดึงตัวผมออกมา เเม่ถึงยอมวางไม้ลงได้ ทั้งเเม่ทั้งลูกสามคนกอดกันร้องไห้…หลังคราบน้ำตาเเห้งลง พวกเราก็เริ่มกินข้าวกันใหม่ เเม่เสียดายน่องไก่ จึงเก็บขึ้นมาเเล้วเอาน้ำร้อนลวก เเล้วกินเสียเอง
คืนวันนั้น เเม่เข้ามากอดผม เเล้วถามว่า “ยังเจ็บมั้ย? วันหลังจะซนอีกมั้ย?” ความจริงผมยังเจ็บอยู่ เเต่เเอบยิ้มพร้อมบอกเเม่ไปว่า “นอนเถอะครับ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนเเต่เช้า”
สิบกว่าปีให้หลัง ผมกับเเม่ไปออกรายการโทรทัศน์ เเม่เล่าเรื่องนี้ให้ผู้ชมฟัง เเละบอกว่า “ตอน เ ด็ ก ๆ ผมซนมาก ไม่รู้เลยว่ากับข้าวเเต่ละอย่างหามา ย า กลำบากเเค่ไหน ไม่รู้จักคุณค่าของเลย”
ผมย้อนคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก เเล้วก็บอกออกไปว่า “ไม่ครับเเม่ ผมรู้ว่าเเม่ลำบาก…เเต่ถ้าผมไม่เเกล้งทำน่องไก่ตกดิน เเม่จะยอมกินไหม? สมัย เ ด็ ก ๆ มีของกินดีๆ อะไร เเม่ก็จะให้พวกเราสามพี่น้องกินเสมอ เเม่กินข้าวเปล่ากับผักดองตลอด ผมก็เลยคิดอุบาย เคี้ยวเนื้อเเล้วก็คายทิ้ง เเม่ถึงยอมกินเพราะความเสียดาย”
พอเเม่ได้ยินความลับที่เก็บงำมากว่าสิบปี ถึงกับน้ำตาริน บอกว่า “เเม่น่าจะคิดได้ตั้งนานเเล้ว เพราะเจ้าเป็น เ ด็ ก ดีทุกเรื่อง ยกเว้นเเค่เรื่องกินเรื่องเดียวที่ นิ สั ย เสีย”
ในครั้งนั้น ผมกับเเม่กอดกันร้องไห้อย่างไม่อายผู้ชม ผมเห็นว่าผู้ชมหลายคนก็เเอบเสียน้ำตาด้วย….ผมเป็นทั้งนักเเสดงเเละผู้กำกับหนังมากมายหลายเรื่อง เเต่การเเสดงที่ดีที่สุดของผมก็คือ ตอน 7 ขวบครั้งนั้น เพราะเป็นการเเสดงที่ออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ หากเเต่มีผู้ชมเพียงคนเดียว ก็คือ “เเม่” ของผม”
ขอบคุณที่มาข้อมูล ให้ความรู้